แปล

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556



การใช้ภาษากับพัฒนาการของมนุษย์
           ภาษาในระยะแรกๆของมนุษย์  คือการใช้ท่าทางและเสียงร้องเพื่อสื่อความต้องการ และค่อยๆได้รับการพัฒนาจนสามารถถ่ายทอดความรู้สึก  ความต้องการ  ความรู้และความคิด และสามารถสั่งสมประสบการณ์เป็นความรู้ถ่ายทอดให้แก่กันได้  เมื่อมนุษย์ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง ขยายตัวจากชุมชนเป็นสังคม ภาษาของมนุษย์มีความซับซ้อนขึ้น  ภาษาท่าทางที่เคยใช้เพียงเพื่อระดับสื่อสาร ก็พัฒนาถึงระดับกิริยามารยาทเพื่อสื่อถึงระดับของบุคคลด้วย  ภาษาพูดก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น มีการพัฒนาเพื่อใช้ในลักษณะต่างๆ ทั้งในลักษณะ สื่อสาร สั่งสอน และสร้างสรรค์

  • การใช้ภาษาลักษณะสื่อสาร  คือ การถ่ายทอดความรู้สึก และความต้องการให้ผู้อื่นทราบ
  • การใช้ภาษาลักษณะสั่งสอน  คือ การถ่ายทอดความรู้และความคิดของตนให้ผู้อื่นทราบ
  • การใช้ภาษาลักษณะสร้างสรรค์  คือ การถ่ายทอดความงดงามของภาษาและจินตนาการให้ผู้อื่นทราบ
ภาษาของมนุษย์ มี 4 ลักษณะ ได้แก่
  • การสื่อสารโดยใช้ท่าทาง ( Gestures )
  • การสื่อสารโดยใช้ภาษาพูด  ( Spoken Languages )
  • การสื่อสารโดยใช้ภาษาเขียน  ( Written Languages )
  • การสื่อสารโดยใช้สัญลักษณ์  ( Symbols )
ความรู้เกี่ยวกับภาษา
      2.1 อวัจนภาษาและวัจนภาษา
            อวัจนภาษา  หมายถึง ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ  การสื่อสารโดยใช้ท่าทางและการใช้สัญลักษณ์แทนอื่นที่ไม่ใช่เสียงพูดหรือตัวอักษร
            อวัจนภาษาสามาแบ่งได้  7 ประเภท ได้แก่
  1. เทศภาษา  หมายถึง ภาษาที่ปรากฏขึ้นจากสักษณะของสถานที่ และระยะห่างของบุคคลที่ทำการสื่อสาร  
  2. กาลภาษา  หมายถึง เวลาที่ใช้ในการสื่อสาร
  3. เนตรภาษา  หมายถึง การใช้ภาษาตาเพื่อสื่อความหมาย
  4. สัมผัสภาษา  หมายถึง การสัมผัสเพื่อสื่อความรู้สึก
  5. อาการภาษา  หมายถึง กมาแสดงท่าทางเพื่อสื่อความหมาย
  6. วัตถุภาษา หมายถึง การเลือกหรือส่งมอบวัตถุเพื่อสื่อความหมาย
  7. ปริภาษา  หมายถึง สิ่งที่ใช้ประกอบกับวัจนภาษา เช่น น้ำเสียง ลวดลายตัวอักษร
             วัจนภาษา หมายถึง ภาษาที่ใช้ถ้อยคำ  การสื่อการโดยการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน
       2.2 ระดับภาษา
ระดับภาษาสามารถแบ่งออดได้  3  ประเภท  ได้แก่
              1.  ระดับภาษาทางการ  หรือเรียกอีกอย่างว่า  ระดับภาษาแบบแผน มักช้ในโอกาสพิธีการต่างๆ หรือการพูดที่เป็นทางการ เช่น ให้โอวาท กล่าวปราศรัย 
              2.  ระดับภาษากึ่งทางการ  คือ ระดับภาษาที่ใช้ภาษาเขียนปะปนกับภาษาพูด เพื่อสื่อความหมายให้ความรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า
              3.  ระดับภาษาไม่เป็นทางการ  หรือเรียกว่า ภาษาปาก  คือ ภาษาพูดที่มีถ้อยคำบ่งบอกความรู้สึกเป็นกันเองมาก มักใช้ในการพูดจาในสังคมทั่วไป

     ระดับภาษาไม่เป็นทางการ                ระดับภาษากึ่งทางการ                 ระดับภาษาทางการ
                 อยากได้                                      ต้องการ                               มีความประสงค์
                     ดับ                                          ตาย,เสีย                      ถึงแก่กรรม,ถึงแก่อนิจกรรม
                     หนู                                             ดิฉัน                                       ข้าพเจ้า
                     กิน                                           รับ,ทาน                                  รับประทาน
                    ซังเต                                            คุก                                        เรือนจำ
      2.3 ลักษณะเฉพาะของภาษาในวงการต่างๆ

  • ภาษาในหนังสือพิมพ์  ไม่ใช่ภาาาที่ต้องเคร่งครัดในเรื่องความเป็นทางการ แต่เป็นภาาาเขียนที่ประสมประสานกันกับภาษาพูดที่ชาวบ้านธรรมดาอ่านแล้วเข้าใจ  เช่น หนุ่มอาภัพแขวนคอลาโลก
  • ภาษาโฆณา  เป็นภาาาที่มีลักษณะชักจูงใจ ใช้ถ้อยคำที่สัมผัสคล้องจองกันเพื่อให้อ่านได้คล่อง  เช่น ซ่าจนหยดสุดท้าย เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน
  • ภาษาในวงการแพทย์  เป็นภาษาเฉพาะกลุ่มวิชาชีพที่คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจ  เช่น ห้องไอซียู  พยาธิวิทยา  อายุรแพทย์
  • ภาษาการเมือง  เป็นถ้อยคำ สำนวน ภาษาที่นิยมใช้กันในวงการเมือง เช่น หัวคะแนน  ปฏิรูป
  • ภาษาในวงการเกตรกรรม  เป็นถ้อยคำ สำนวน ภาษเกี่ยวกับการเกษตร เช่น พืชลอยฟ้า ทาบกิ่ง
  • ภาษาในวงการอุตสาหกรรม เป็นถ้อยคำ สำนวน ภาษเกี่ยวกับการอุตสาหกรรม เช่น ค่าโอที วัตถุดิบ ผลผลิต นิคมอุตสาหกรรม
  • ภาษาสังคมชนบท  เป็นถ้อยคำ สำนวน ภาษาที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในชนบท เช่น ขนำ แห
  • ภาษาสังคมเมือง  เป็นถ้อยคำ สำนวน ภาษาที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในสังคมเมือง เช่น   เขตเทศบาล  ตึกแถว คอนโด
  • ภาษาในยุคสังคมข่าวสาร  เป็นถ้อยคำ สำนวน ภาษาที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในสังคมที่สามารถรับรู้เรื่องราว ข่าวสาร สารสมเทศจากทั่วทุกมุมโลก เช่น อินเตอร์เน็ต  อีเมล

การฟัง

            การฟัง เป็นกระบวนการรับสารด้วยหูและเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ การฟังต่างจากการได้ยินตรงที่การฟังจะผ่านกระบวนการคัดเลือกสารเฉพาะที่ต้องการเท่านั้น การจะฟังได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของหู สติปัญญาของผู้ฟัง ความตั้งใจของผู้ฟัง 
องค์ประกอบชองการฟัง
            การฟังเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามลำดับ ดังนี้
            1.  การได้ยินหรือการรับรู้  เป็นกระบวนการแรก คือ หูรับฟังเสียง  การได้ยินเสียงยังไม่เป็นการฟัง การฟังจะเกิดขึ้นเมื่อเสียงที่ได้นิยยั้นน่าสนใจ และเกิดการรับรู้
            2.  การแปลความหมาย  คือ หลังจากได้ยินเสียงแล้วสมองจะนำสิ่งที่ได้ยินไปแปลความหมายโดยอาศัยข้อมูลเดิมที่ผู้รับสารมีอยู่ 
            3.  การรักษาข้อมูล  หลังจากเข้าใจความหมายของสารแล้วสมองจะทำหน้าที่จดจำ เก็บรักษาข้อมูลไว้เพื่อใช้เมื่อต้องการ เรื่องบางเรื่องที่ผู้รับสารสนใจ หรือใช่บ่อยก็จะจดจำได้นาน
            การฟังจะสัมฤทธิ์ผลขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการฟัง 3  ประการ  คือ  สิ่งเร้า  อวัยวรับสัมผัส  และภูมิลังของผู้ฟัง
อุปสรรคของการฟัง

  • อคติในการฟัง
  • การละทิ้งเรื่องบางตอนโดนไม่คิดว่าสำคัญ
  • การมุ่งสนใจภาษามากกว่าสาระสำคัญของเนื้อเรื่อง
ความมุ่งหมายของการฟัง
             1.  การฟังเพื่อความซาบซึ้งและเพลิดเพลิน เช่น ฟังเพลง ฟังนิทานหรือเรื่องเล่า เป็นการฟังเพื่อความสุข
             2.  การฟังเพื่อความรอบรู้  เช่น  ฟังบรรยายทางวิชาการ กรฟังอภิปราย เป็นการฟังที่เน้นความเข้าใจเรื่องสามารถจดจำ และนำความรู้ใหม่ไปผสมผสานกับความรู้เดิมที่มีมาใช้ได้
             3.  การฟังเพื่อคิดวิเคราะห์  คิดสร้างสรรค์ เช่น  การฟังการวิจารณ์ การวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ เป็นการฟังเพือ่พัฒนาตนเอง
             4.  การฟังเพื่อหาข้อสรุป  เป็นการฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ  เช่น ฟังโฆษณา  ฟังการประชาสัมพันธ์  เป็นการฟังเพื่อหาข้อสรุป ตัดสินใจ ซึ่งต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างละเอืยดรอบคอบ 
ลักษณะการฟังที่ดี
             1.  เตรียมตัวฟัง ผู้ฟังต้องเตรียมให้พร้อมที่จะฟัง เช่น เตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องการจดบันทึก เอกสารที่จำเป็นในการฟัง  หรือการหมั่งศึกษาความรู้เพิ่มพูดประสบการณ์อยู่เสมอ
             2.  มารยาทในการฟัง  
             3.  มีศิลปะในการฟัง  การฟังที่ดีต้องมีศิลปะในการกลั่นกรองเลือกสาร ผสานสิ่งที่ได้รับจากการฟังกับประสบการณ์เดิมและพิจารณาสถานการณ์แวดล้อมใหม่ สรุปความคิด จดจำ และสามารถนำไปใช้ได้
             4.  มีเป้าหมายในการฟัง  การกำหนดเป้าหมายช่วยให้ผู้ฟังสามารถเลือกใช้วิธีฟังได้อย่างเหมาะสม สรุปสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
             5.  มีความสามารถในการจับใจความ  
             6.  มีความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์  แยกข้อเท็จจริง  และความคิดเห็นได้ 
             7.  จดบันทึกเรื่องที่ฟัง  การฟังที่ดีควรคิดตามเพื่อทำความเข้าใจสาระของเรื่องที่ฟัง การจดประเด็นสำคัญ เป็นการช่วยความจำได้เป็นอย่างดี
             8.  ตรวจสอบความเข้าใจในการฟัง  ฟังเพื่อคิดวิเคราะห์ เพื่อการตัดสินใจ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ชัดเจน การตรวจสอบความเข้าใจจำเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้ผู้ฟังสามารถคัดสินใจได้อย่างไม่ผิดพลาด
วัฒนธรรมและมารยาทในการฟัง
            การมีมารยาทในการฟังช่วยให้การสื่อสารประสบความสำเร็จได้ การไม่มีมารยาทในการฟังก็เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารได้
            มารยาทในการฟัง คือ  ผู้ฟังต้องแสดงความสนใจในสารที่กำลังฟัง  การแสดงความสนใจต่อผู้พูดทำได้โดยมองหน้าขณะที่ผู้พูดกำลังพูด

การพูด

            การพูด  คือ กระบวนการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ของผู้พูดไปยังผู้ฟังโดยอาศัยถ้อยคำ น้ำเสียง และอากัปกิริยาในการสื่อความหมาย
            ทินวัฒน์  มฤคพิทักษ์  ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า  " การพูด คือ กระบวนการสื่อสารความคิดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง โดยมีภาษา น้ำเสียง และอากัปกิริยาเป็นสื่อ "
            อ้อม  ประนอม  ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า  " การพูดเป็นการสื่อสารระหว่างมนุษย์ เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ โดยใช้ภาษา น้ำเสียงและการแสดงออกเป็นสื่อ "
องค์ประกอบของการพูด
            1.  ผู้พูด  คือ บุคคลที่จะทำให้การพูดประสบความสำเร็จ ผู้พูดที่ดีจะต้องมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมแล้วต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้  ความคิดไปยังผู้ฟังได้ตรงตามเป้าหมาย รู้จักใช้ภาษา น้ำเสียง และอากัปกิริยาต่างๆเหมาะสม กลมกลืนกับเนื้อหาที่พูด
            2.  ผู้ฟังหรือผู้รับสาร  ผู้ฟังที่ดีจะต้องรู้ว่าผู้พูดพูดถึงเรื่องอะไร สิ่งที่พูดมีความหมายอย่างไร มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด รวมทั้งสามารถวิเคราะห์ได้ว่าดารพูดนั้นมีความสมบูรณ์หรือไม่
            3.  เนื้อหาสาระ  หมายถึง สารที่ผู้พูดส่งไปยังผู้ฟังโดยผ่านทางประสาทสัมผัส การฟังจะบรรลุจุดประสงค์หรือไม่นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับเนื้อหาของสารและการทำความเข้าใจของผู้ฟังเป็นสำคัญ
           4.  เครื่องมือในการสื่อความหมาย  หมายถึง  สื่อหรือสิ่งที่ช่วยถ่ายทอดความรู้ ความคิดของผู้พูดไปยังผู้ฟัง
ประเภทของการพูด 
           1.  แบ่งตามลักษณะการพูด  แบ่งได้ 2 ประเภท
                -  การพูดเดี่ยว  คือ การพูดที่มีผู้พูดคนเดียว  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ฟังได้รับความเพลิดเพลิน หรือเผยแพร่วิทยาการใหม่ๆที่ก้าวหน้า
                -  การพูดกลุ่ม  คือ การพูดที่มีผู้พูดหลายๆคนมารวมกันแสดงความคิดเห็นนเรื่องที่พูด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา หรือหาแนวทางปฎิบัติ
           2.  แบ่งตามโอกาสที่พูด  แบ่งได้  2 ประเภท
                -  การพูดอย่างเป็นทางการ  คือ  การพูดที่เป็นกิจจะลักษณะและเป็นพิธีการ ผู้พูดต้องยึดถือและปฎิบัติตามหลังเกณฑ์การพูด  เช่น  การปาฐกถา  การบรรยาย  การอภิปราย การสัมภาษณ์  หรือการประชุม เป็นต้น การพูดอย่างเป็นทางการอาจมีทั้งพูดเดี่ยวหรือพูดกลุ่มก็ได้
                -  การพูดอย่างไม่เป็นทางการ  คือ  การพูดที่ไม่มีพิธีรีตอง เนื่องจากผู้พูดกับผู้ฟังมีความคุ้นเคยต่อกันจึงไม่พิถีพิถันกับรูปแบบของการพูดมากนัก
           3.  แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการพูด  แบ่งได้ 5 ประเภท
                -  การพูดเพื่อให้ความรู้  คือ การแสดงความรู้หรือข้อเท็จจริงให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจและได้รับประโยชน์จากเนื้อหาสาระ เรื่องราว หรือข่าวสารต่างๆ ที่พูดออกไป การพูดที่ให้ความรู้มีหลายรูปแบบ เช่น  การสอนหรือการอภิปราย  การรายงาน  การวิพากษ์วิจารณ์  และการบรรยาย
                -  การพูดเพื่อเกลี้ยกล่อมหรือจูงใจ  คือ การพูดที่มุ่งโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้คล้อยตามหรือเชื่อถือศรัทธาแล้วนำไปปฏิบัติ
                -  การพูดเพื่อกระตุ้นหรือการสร้างความประทับใจ  คือ การพูดให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเกิดความรู้สึกร่วมกัน เช่น การพูดให้เกิดความสามัคคีในการทำงาน
                -  การพูดเพื่อเรียกร้องความสนใจ  เป็นการพูดที่ต้องการให้ผู้ฟังสนใจในตัวผู้พูดหรือเกิดความสนใจใรสิ่งที่ผู้พูดกล่าวถึง เช่น การพูดแนะนำวิทยากร
                -  การพูดเพื่อให้เกิดความบันเทิง  เป็นการพูดซึ่งมีความสนุกสนาน ฟังแล้วเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อหน่าย
การเตรียมพูด
            1.  การเตรียมเรื่อง เป็นการกำหนดแผนในการพูดว่า เราจะพูดอะไร พูดอย่างไร เริ่มพูดเมื่อไร พูดนานแค่ไหน พูดกับใคร และจะใช้การพูดแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุด ผู้พูดที่ดีควรเตรียมเรื่องพูดไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้พูดได้ตรงประเด็นและเป็นไปตามความมุ่งหมาย
            2.  การเตรียมตัว ในการเตรียมตัวจะต้องเตรียมการ 2 ข้อ ได้แก่
                 -   การเตรียมตัวผู้พูด ผู้พูดควรเตรียมความพร้อมของตนเอง ในเรื่องการแต่งกาย การเตรียมโน๊ตย่อ เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจ การฝึกซ้อม เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว
                 -  การทบทวนเรื่องที่จะพูด  คือการทบทวนประเด็นสำคัญของเนื้อหาอย่างคร่าวๆ ก่อนการพูด
วัฒนธรรมและมารยาทในการพูด
             การพูด เป็นการสื่อสารที่ก่อให่เกิดได้ทั้งความเสื่อมเสียและการสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์มีวัฒนธรรมและมารยาทในการพูดดังนี้
             การพูดเชิงสร้างสรรค์
             ข้อควรปฎิบัติในการพูดเชิงสร้างสรรค์ มีดังนี้

  • ควรพูดให้เหมาะสมกับโอกาส เวลา สถานที่ และบุคคล
  • ควรคิดก่อนพูด
  • รู้จักระงับอารมณ์และคิดอย่างรอบคอบ
  • รู้จักสสร้างบรรยากาศของความเป็นมิตร พูดคุยในบรรยากาศที่มีความเป็นกันเองอย่างมีเหตุผล
  • รู้จักใช้ถ้อยคำในเชิงสร้างสรรค์ ที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความพึงพอใจต่อการพูด
              ข้อควรละเว้น ผู้พูดไม่ควรพูดในสิ่งที่ก่อให้เกิดความผลเสียต่อตัวผู้พูด ซึ่งมีข้อควรระวังดังนี้
  • การเริ่มต้น :  ผู้พูดไม่ควรพูดออกตัว ถ่อมตัว ขออภัย หรือพูดอ้อมค้อม เพราะจะทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ขาดความเชื่อถือ
  • การพูดเนื้อหา :  ผู้พูดควรหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องสัปดน พูดคำหยาบ พูดห้วนๆ จะทำให้เกิดผลเสียต่อตัวผู้พูดและทำให้มองว่าผู้พูดเป็นคนที่มี พื้นฐานจิตใจต่ำ หยาบคาย ไม่น่าเลื่อมใส
  • การพูดสรุป :  ผู้พูดไม่ควรสรุปการพูดด้วยการกล่าวคำว่า ขอจบ ขอยุติเพียงเท่านี้ ไม่มานก็น้อยหรือขอบคุณที่เชิญผมมาพูด

การอ่าน

              การอ่าน คือ การรับสารจากตัวอักษร โดยผู้อ่านได้รับรู้เนื้อหาของสารและเข้าใจเจตนาของผู้ส่งสาร
ความมุ่งหมายในการอ่าน
              1.  อ่านเพื่อทราบข่าวสาร  ได้แก่ หนังสือพิมพ์ คอลัมน์ข่าวในสังคม นิตยสาร
              2.  อ่าเพื่อความบันเทิง  เป็นสิ่งที่ตอบสนองได้ทั้งอารมณืและจินตนาการ ได้แก่ เรื่องสั้น นวนิยาย
              3.  อ่านเพื่อพัฒนาความคิด  เพื่อสร้างความหวังในยามสุขและเพื่อปลุกใจในยามท้อ ได้แก่ หนังสือด้านธรรมะ ปรัชญา 
              4.  อ่านเพื่อค้นคว้าหาความรู้  เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มเติมความรู้ให้แก่มนุษย์ ได้แก่ พจนานุกรม สารานุกรม ตำรา สารคดี
              5.  อ่านเพื่อศึกษาสำนวน  การอ่านเป็นสื่อที่บันทึกถ้อยคำไว้เป็นหลักฐานมากที่สุด ผ่านตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน บันเทิงคดี สารคดี กวีนิพนธ์ หนังสือพิมพ์ หรือตำราวิชาการ
ประเภทของการอ่าน
              1.  การอ่านเพื่อความรอบรู้ มีวัตถุประสงค์เพือ่การศึกษาค้นคว้าโดยตรงและเป็นการอ่านที่ต้องใช้ความมานะพยายามสูง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเองให้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับหนังสือและการอ่านหลายด้านด้วยกัน ดังนี้ 
                   1.1  ความรู้ด้านแหล่งค้นคว้า คือ ห้องสมุด เป็นที่รวมเอกสารนานาชนิด
                   1.2  ความรู้ด้านหนังสือและวัสดุที่อ่าน ผู้อ่านจำเป็นจะต้องรู้จักส่วนต่างของหนังสือ เพื่อจะช่วยให้การอ่านเป็นไปด้วยความรวดเร็วและได้ประโยชน์ตามต้องการ
                             1.2.1ส่วนต่างๆของหนังสือ มีดังต่อไปนี้

  • ปก หนังสือจะมีทั้งปกนอกและปกใน ข้อความที่ปรากฏอยู่ มักจะตรงกันเสมอ คือให้รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ เช่น ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง ผู้แปล 
  • หน้าคำอุทิศ  มีเพียงบางเล่ม เป็นหน้าที่มีข้อความที่ผู้เขียนกล่าวอุทิศให้กับบุคคลที่ช่วยผลักดันหรือเป็นแรงบันดาลใจในการทำผลงาน
  • หน้าคำนำ  จะกล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการเขียนหนังสือ และอาจบอกถึงลำดับการเรียบเรียงเนื้อหาทั้งเล่ม ลักษณะเฉพาะของหนังสือ รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายที่น่าจะเป็นประโยชน์จากหนังสือ
  • หน้าสารบัญ  เป็นหน้าที่อยู่ถัดจากคำนำ แสดงบัญชีบทและตอนต่างๆ โดยมีเลขกำกับหน้า
  • หน้าบัญชีตาราง  ต่อจากหน้าสารบัญ แสดงชื่อของตารางที่ใช้ในหนังสือและเลขหน้าที่ปรากฏตารางเหล่านั้นเพื่อความสะดวกต่อการค้นหา
  • หน้าบัญชีภาพประกอบ  ต่อจาดหน้าบัญชีตาราง แสดงชื่อของภาพประกอบและเลขหน้าไว้เพื่อความสะดวกในการค้นหา
                              1.2.2  ส่วนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนของเนื้อความทั้งหมดของหนังสือ แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้              1.2.2.1  ส่วนเนื้อหา มีเค้าโครงเป็น 3 ตอน คือ 

                          -  ตอนนำ  เป็นการกล่าวถึงความเป็นมาหรือความสำคัญของเรื่อง
                          -  ตอนตัวเรื่อง  คือ การอธิบายรายละเอียดทั้งหมดของเรื่อง
                          -  ตอนลงท้าย  เป็นการสรุปเรื่องทั้งหมด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจยิ่งขึ้น
             1.2.2.2  ส่วนประกอบที่แทรกอยู่ในเนื้อหา หมายถึง ส่วนที่ช่วยให้การอธิบายความกระจ่าง ชัดเจน ยิ่งขึ้นด้วยส่วนประกอบซึ่งส่วนที่แทรกอยู่ในเนื้อหา ดังนี้
                           -  อัญประภาษ คือ ข้อความที่ผู้เขียนนำข้อความที่ผู้อื่นกล่าวไว้ในหนังสือ มาอ้างไว้ เพื่อประกอบคำอธิบายของตน  อัญประภาษมี 2 ประเภท คือ อัญประภาษตรง เป็นการคัดลอกข้อความของผู้อื่นมาลงไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลง และอัญประภาษรอง เป็นการสรุปเอาเฉพาะเนื้อความ หรือความคิดของผู้อื่นมาลงไว้โดยใช้ภาษาของตนเอง
                            -  การอ้างอิง  คือ การระบุแหล่งที่มาของอัญประภาษ การอ้างอิงอาจใช้วิธีเขียนไว้ในลงเล็บแทรกอยู่ในเนื้อหา เรียกว่า แบบนามปี หรือวางอยู่ท้ายหน้า แยกส่วนออกมาเป็นเชิงอรรถ ใช้ตัวเลขกำกับและนำข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มารวมไว้ท้ายบท
                           -  ตาราง  คือ ส่วนที่นำเสนอข้อมูลในรูปตาราง เพื่อให้เข้าใจง่ายและชัดเจนขึ้น
                           -  ภาพประกอบ  คือ ภาพใช้ประกอบคำอธิบาย
                               1.2.3  ส่วนประกอบตอนท้าย  มีดังนี้

  • บรรณานุกรม คือ บัญชีรายชื่อหนังสือที่ผู้แต่งใช้อ้างอิงในการเขียนหนังสือเล่มนั้น โดยการจัดเรียงไว้ตามลำดับอักษร
  • ดรรชนี  คือ บีญชีเรื่องหรือหัวข้อที่ได้มีการอธิบายแล้วในส่วนเนื้อหา แต่นำมาเรียบเรียงใหม่ตามลำดับอักษรและอ้างเลขหน้าที่กล่าวถึงเรื่อหรือคำนั้นอีกทีหนึ่ง
  • อภิธานศัพท์หรือศัพทานุกรม  คือ บัญชีคำศัพท์และความหมายของคำศัพท์ที่ใช้ในการเขียนหนังสือเล่มนั้น
  • ภาคผนวก  เป็นส่วนที่ผู้เขียนได้กล่าวพาดพิงถึง   

                    1.3  ความรู้ด้านภาษา  ผู้ที่จะรับสารได้ดี ต้องเข้าใจความหมายของคำ ภาษา ได้อย่างชัดเจน
                    1.4  ความรู้ด้านวิธีการอ่านที่เหมาะสม  ความรู้วิธีการอ่าน เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเลือดใช้วิธีการอ่านได้อย่างเหมาะสมกับหนังสือที่อ่านและจุดมุ่งหมายในการอ่านช่วยให้ประหยัดเวลา









































            
            
            

            

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น